การเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของต้นไม้จากสารไคตินของเปลือกกุ้งเเละเเกนหมึก

การเจริญเติบโตของต้นไม้ต้องใช้เวลานาน และต้องการปัจจัยหลายอย่างในการเจริญเติบโตเช่น น้ำ แสง ปุ๋ย สภาพอากาศ สภาพพื้นดิน เป็นต้น และส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะใช้ปุ๋ยในการบำรุงต้นไม้ให้เจิรญเติบโต และปุ๋ยที่ใช้มีส่วนประกอบของสารเคมี ซึ่งมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม จากการศึกษาพบว่าสารไคตินสามารถเพิ่มการเจริญเติบโตของต้นไม้และไม่มีสารตกค้างในธรรมชาติ
ทางผู้จัดทำจึงมีแนวคิดในการที่จะทำปุ๋ยหรือน้ำหมักจากสารไคตินแทนการใช้สารเคมีและพบว่าสารไคตินมีอยู่ทั้งในเปลือกกุ้งและแกนหมึก จึงคิดทำโครงงานเพื่อที่จะศึกษาการเจริญเติบโตของต้นไม้ระหว่างสารไคตินจากเปลือกกุ้งกับสารไคตินจากแกนหมึก

ไคติน-ไคโตซาน เป็นวัสดุชีวภาพเกิดในธรรมชาติ จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตผสม ที่ประกอบด้วยอนุพันธ์ของน้ำตาลกลูโคสที่มีธาตุไนโตรเจนติดอยู่ด้วยทำให้มีคุณสมบัติที่โดดเด่น และหลากหลายมีประสิทธิภาพสูงในกิจกรรมชีวภาพ และยังย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นสารที่มีความปลอดภัยในการใช้กับมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม สารไคติน-ไคโตซานนี้ มีลักษณะพิเศษในการนำมาใช้ดูดซับและจับตะกอนต่างๆในสารละลายแล้วนำสารกลับมาใช้ใหม่ได้ซึ่งเป็นการหมุนเวียนตามระบบธรรมชาติ
โครงสร้างทางเคมีของสารไคติน คล้ายคลึงกับเซลลูโลส คือเป็นเส้นใยที่ยาว ไคตินที่เกิดในธรรมชาติมีโครงสร้างของผลึกที่แข็งแรงมีการจัดตัวของรูปแบบของผลึกเป็น 3 ลักษณะได้แก่ แอลฟ่าไคติน, บีต้าไคติน, และแกมม่าไคติน ไคตินที่เกิดในเปลือกกุ้งและปู ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแอลฟ่าไคติน ส่วนไคตินที่อยู่ในปลาหมึกพบว่าส่วนใหญ่เป็นบีต้าไคตินในการจัดเรียงตัวของโครงสร้างตามธรรมชาติ พบว่าแอลฟ่าไคตินมีคุณลักษณะของเสถียรภาพทางเคมีสูงกว่าบีต้าไคติน ดังนั้นจึงมีโอกาสที่บีต้าไคตินสามารถจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็นแอลฟ่าไคตินได้ในสารละลายของกรดแก่ เช่น กรดเกลือ เป็นต้น ส่วนแกมม่าไคตินเป็นโครงสร้างผสมระหว่างแอลฟ่าและบีต้าไคติน
ไคตินเป็นโพลีเมอร์ที่มีสายยาวมีองค์ประกอบของหน่วยย่อยเป็นอนุพันธ์ของน้ำตาลกลูโคสมีชื่อว่า N-acetyl glucosamine ไคตินเป็นสารที่ละลายยากหรือไม่ค่อยละลาย ส่วนไคโตซานเป็นโพลีเมอร์ของหน่วยย่อยที่ชื่อว่าglucosamine มากกว่า 60% ขึ้นไป ( นั้นคือมีปริมาณ N- acetylglcosamine นั้นเอง ในธรรมชาติย่อมมีไคตินและไคโตซาน ประกอบอยู่ในโพลิเมอร์ ที่เป็นสายยาวในสัดส่วนต่างๆกัน ถ้ามีปริมาณของ glucosamine น้อยกว่า 40 % ลงมา พอลิเมอร์นั้นจะละลายได้ในกรดอินทรีย์ต่างๆนั้นหมายถึงมีปริมาณไคโตซานมากกว่า 60 % นั้นเอง ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงทางเคมีทำให้ไคตินเปลี่ยนไปเป็นไคโตซาน คือการลดลงของหมู่อะซีติลหรือเรียกว่า Deacetylation ขณะที่มีการลดลงของหน่วยย่อย N-acetyl glucosamine ย่อมเป็นการเพิ่มขึ้นของ glucosamine ในปริมาณที่เท่ากัน ซึ่งคือการเปลี่ยนแปลงไคตินให้เป็นไคโตซานนั่นเอง การจัดระดับของการ Deacetylation มีค่าร้อยละหรือเรียกว่า Percent Deacetylation ( % DD) กล่าวคือเมื่อในพอลิเมอร์มีค่าเกิน % DD เกินกว่า 60 % ขึ้นไป ของการกระจายไคโตซานในกรดอินทรีย์มากจะเพิ่มขึ้นของหมู่อะมิโนของ glucosamine ทำให้มีความสามารถในการรับโปรตรอน จากสารละลายได้เพิ่มขึ้นซึ่งช่วยในการละลายดีขึ้น เพราะมีสมบัติของประจุบวกเพิ่มขึ้น ฉะนั้นไคโตซานจึงสามารถละลายได้ดีขึ้นในกรดต่างๆ เช่น กรดน้ำส้ม กรดแลคติก และกรดอินทรีย์อื่นๆ
ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ไคโตซานจะไม่ละลายน้ำเช่นเดียวกับเปลือกกุ้ง กระดองปู หรือเปลือกไม้ทั่วไป แต่ไคโตซานจะละลายได้ดีเมื่อใช้กรดอินทรีย์เป็นตัวทำละลาย สารละลายของไคโตซานจะมีความข้นเหนียวแต่ใสคล้ายวุ้น หรือพลาสติกใส ยืดหยุ่นได้เล็กน้อยจึงมีคุณสมบัติที่พร้อมจะทำให้เป็นรูปแบบต่างๆได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าต้องการทำเป็นแผ่นหรือเยื่อบางๆเป็นเจล หรือรูปร่างเป็นเม็ด เกล็ด เส้นใย สารเคลือบและคอลลอยด์ เป็นต้น นอกจากนี้ไคโตซานยังย่อยสลายตามธรรมชาติ จึงไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต เมื่อกินเข้าไปและไม่มีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อเติมลงไปในน้ำหรือในดินเพื่อการเกษตร
ไคโตซานที่ผลิตขึ้นมาใช้ในปัจจุบันนี้ มีหลายรูปแบบ และส่วนใหญ่จะผลิตมาจากบริษัทต่างประเทศ จึงมีราคาค่อนข้างสูง

ไคโตซาน กับไคโตแซน เป็นสารตัวเดียวกัน เขียนเป็น Chitosan,Kytosanสารไคติน-ไคโตซานเป็นสารที่อยู่ในส่วนเปลือกแข็งของสัตว์ และคนเราค้นพบที่จะเอาสิ่งที่มีประโยชน์ของสัตว์มาสกัด ให้เกิดประโยชน์กับมนุษย์ เราเอาเปลือกกุ้งหรือกระดองปูหรือแกนปลาหมึกมาแยกโปรตีน และเกลือแร่ออกไปจะได้สารที่เรียกว่า "ไคติน" และไคตินนี่เองหากนำมาผ่านขบวนการทางเคมีเรียกว่า ดีอะเซทิลเลชั่น ก็จะได้ไคโตซานออกมาเป็นสารธรรมชาติมีคุณสมบัติที่โดดเด่นทางเคมี เพราะเป็นสารที่มีประจุบวกสูงมีโครงสร้างเหมือนตาข่ายหรือคล้ายฟองน้ำ ที่มีช่องว่างเล็กๆ จึงสามารถดูดซับน้ำและสะท้อนรังสียูวีจากแสงแดดได้ และยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อราและแบคทีเรียด้วย เพราะคุณสมบัติที่มากมายเหล่านี้ทำให้ไคโตซานเป็นที่ต้องการในหลายวงการค่ะ

ปัจจุบันการผลิตสารไคตินและไคโตซานจากเปลือกกุ้งทำโดยการใช้สารเคมีได้แก่ด่างและกรดโดยมีหลักการที่สำคัญคือ
1. กระบวนการกำจัดโปรตีน (deproteination) โดยการทำปฏิกิริยากับด่าง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้โซดาไฟ (NaOH) ในกระบวนการนี้ โปรตีนส่วนใหญ่จะถูกขจัดออกไปจากวัตถุดิบพร้อมกันนี้บางส่วนของไขมันและรงควัตถุบางชนิดมีโอกาสถูกขจัดออกไปด้วย การพิจารณาใช้กระะบวนการนี้จะขึ้นอยู่กับประเภทของวัตถุดิบที่จะนำมาใช้
2. กระบวนการกำจัดเกลือแร่ (demineralization) โดยการนำวัตถุดิบที่ผ่าน กระบวนการกำจัดโปรตีนมาแล้ว มาทำปฏิกิริยากับกรดซึ่งส่วนมากใช้กรดเกลือ (HCL) ทำให้เกลือแร่ส่วนใหญ่ ได้แก่ หินปูน (calcium carbonate, CaCO3) ซึ่งจะถูกกำจัดออกไปโดยเปลี่ยนไปเป็นก๊าซ (chitin)
3. กระบวนการกำจัดหรือลดหมู่อะซีติล (deacetylation) เป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่ใช้ในการกำจัดหรือลดหมู่อะซีติล (CH3CO-) ที่มีอยู่บนโมเลกุลของไคติน เพื่อให้เกิดเป็นไคโตซาน(chitosan) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของหมู่อะมิโน (-NH2) บนโมเลกุลของไคตินและหมู่อะมิโนนี้มีความสามารถในการรับโปรตอนจากสารละลายซึ่งช่วยให้การละลายดีขึ้น เพราะมีสมบัติเป็นประจุบวก (Cation) ส่วนใหญ่เมื่อปริมาณของหมู่อะซีติล ถูกกำจัดไปมากกว่า 60% ขึ้นไป สารไคโตซานที่ได้สามารถละลายได้ในกรดอินทรีย์หลายชนิด การลดหมู่อะซีติลกระทำได้โดยใช้ด่างที่เข้มข้นสูงตั้งแต่ 40% ขึ้นไป ดังนั้นพารามิเตอร์ที่สำคัญในการพิจารณาสารไคโตซานก็คือค่าระดับการกำจัดหมู่อะซีติล (degree of deacetylation , %DD) ไคโตซานได้จากปฏิกิริยาการกำจัดหมู่อะซีติล (deacetylation) ของไคตินซึ่งก็คือ พอลิเมอร์ของ(1-4)-2 amino-2 deoxy- b - D-glucan หรือเรียกง่ายๆว่าพอลิเมอร์ของ (glucosamine) การเกิดไคโตซาน

อย่างที่พอทราบกันมาบ้างแล้วว่า ไคติน-ไคโตซานเป็นสารธรรมชาติที่สกัดได้จากเปลือกกุ้ง กระดองปู แกนหมึก ผนัง เซลล์ของเห็ดรา สาหร่ายและจุลินทรีย์อีกหลายชนิด อย่างไรก็ตามไคติน-ไคโตซานที่ผลิตออกมาเพื่อเชิงพาณิชย์จะได้จาก เปลือกกุ้ง กระดองปูและแกนหมึกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเปลือกกุ้ง กระดองปู และแกนหมึกเหล่านี้จะมีปริมาณมากและเป็นกากเสีย
จากอุตสาหกรรมอาหาร การศึกษาวิจัยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับไคติน-ไคโตซานที่ได้จากเปลือกกุ้งและกระดองปู แต่ด้วยเหตุ ที่ประเทศไทยก็มีศักยภาพในการผลิตหรือการนำไคติน-ไคโตซานจากแกนหมึกมาใช้ประโยชน์เช่นกัน ดังนั้นจึงอยากบอกเล่า ข้อมูลของไคโตซานจากแกนหมึกให้ผู้อ่านได้ทราบบ้าง ในแง่มุมการผลิต แกนหมึกก็เป็นกากเหลือของอุตสาหกรรมอาหาร เช่นเดียวกันกับเปลือกกุ้ง และกระดองปู ดังนั้นราคาวัตถุดิบจึงถูกอย่างไม่ต้องสงสัย
ในด้านโครงสร้างทางเคมี พบว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างไคติน-ไคโตซานจากเปลือกกุ้ง กระดองปู และแกนหมึก แต่จะต่างกันที่รูปแบบของผลึก (crystalline form) โดยไคตินจากเปลือกกุ้งและกระดองปูจะเป็นแบบอัลฟา (a-form) คือมีการเรียงตัวของสายโซ่โมเลกุลในลักษณะสวนทางกัน (anti-parallel chain alignment) ส่วนไคตินจากแกนหมึก จะเป็นแบบเบต้า (b-form) คือมีการเรียงตัวของสายโซ่โมเลกุลในทิศทางเดียวกัน (parallel chain alignment) และด้วยเหตุนี้เองทำให้ไคติน-ไคโตซานจากเปลือกกุ้ง กระดองปู มีสมบัติต่างจากไคติน-ไคโตซานจากแกนหมึกเล็กน้อย โดยไคตินจากแกนหมึกจะมีความไวต่อปฏิกิริยาเคมีมากกว่าไคตินจากเปลือกกุ้งและกระดองปู ทำให้การผลิตไคโตซานและ อนุพันธ์อื่นๆ ง่ายขึ้น แต่ในทางกลับกันการเสื่อมสลายของสายโซ่โมเลกุล (chain degradation) ก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย เช่นกัน ไคโตซานจากแกนหมึกสามารถดูดความชื้น หรือดูดน้ำได้ดีกว่า เนื่องจากโมเลกุลของน้ำสามารถแทรกซึมผ่านเข้าไป อยู่ในส่วนของผลึกได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ สารละลายไคโตซานจากแกนหมึก จะมีความหนืดมากกว่าไคโตซานจากเปลือกกุ้ง และกระดองปู ที่ความเข้มข้นเดียวกัน จึงเหมาะที่จะใช้เป็นสารเพิ่มความข้น (thickener) ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง การแพทย์ และอาหาร

วัสดุอุปกรณ์
1.เปลือกกุ้ง 2 กิโลกรัม
2.แกนหมึก 2 กิโลกรัม
3.น้ำส้มสายชู 5% 6 ลิตร
4.กระปุกที่ใช้หมัก 2 ใบ
5.ต้นไม้จำนวน 2 ต้น ลักษณะเหมือนกัน
วิธีการทดลอง
1.นำเปลือกกุ้งและแกนหมึก มาใส่ขวดที่ใช้หมัก โดยแยกไม่ใส่ในขวดเดียวกัน
4.เมื่อหมักเสร็จแล้วนำน้ำหมักไปทดลองกับต้นไม้ ดังนี้
4.1 นำน้ำไคติน 1 ส่วนมาผสมต่อน้ำ 3 ส่วน
4.2 นำต้นไม้มา 2 ต้น โดยมีปัจจัยของต้นไม้เหมือนกัน
4.3 ให้ใส่น้ำและกากที่หมักได้ลงในโคนต้นไม้
4.4 สังเกตว่าต้นไม้ต้นไหนและใส่อะไรเจริญเติบโตกว่า

1.ได้เกิดความคิดสร้างสรรค์เเละได้ทำในสิ่งใหม่ๆ
2. ได้เเก้ไขปัญหาต่างๆได้โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์
3. ได้นำวัสดุเหลือใช้เเละวัสดุจากธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์

link power point ไคติน : http://www.upload-thai.com/download.php?id=acc5db95a0a186efd7f0293a90fa6184


- http://www.mtec.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=42&Itemid=165
http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%99/
- อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์ : อ.กิจติศักดิ์
- อาจารย์ที่ปรึกษาคอมพิวเตอร์ : อ.จิรัฎฐ์ พงษ์ทองเมือง
โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช
Princess Chulabhorn's College,Nakhon Si Thammarat
(Chulabhorn Science High School)

- น.ส.ธิติรัตน์ กมลปัทมากุล ม.503 เลขที่ 4
- น.ส.นภัสกร อรชร ม.503 เลขที่ 5
- น.ส.ปัทมพร กระตากูล ม.503 เลขที่ 6
- น.ส.วรภร เเกล้วทนงค์ ม.503 เลขที่ 13
the tin undertaker - Titanium undertaker - Titsdale
ตอบลบThe tin titanium teeth dog undertaker (also called the tin) titanium wallet was originally manufactured from wood and iron titanium dive watch for the production of titanium pipe the copper plating used by the Romans. titanium welding